นายกฯไม่เสียหน้าหากประชามติล่มแก้รายมาตราได้

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางจากทำเนียบรัฐบาล เพื่อเข้าร่วมประชุมใหญ่ กับสมาชิกพรรคเพื่อไทย โดยจะมีการหารือในประเด็นพิจารณาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เนื่องจาก ภายในพรรค ได้มีความเห็นแตกต่างกันในหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นการลงมติวาระ 3 การทำประชามติ การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา และข้อเสนอ 9 ข้อของร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี มาพิจารณาหาแนวทางด้วย อีกทั้ง ยังมีการพิจารณาคัดเลือกบุคคลที่จะลงเลือกตั้งชิงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในนามพรรคเพื่อไทย ต่อไป โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า กรณีในพรรคเพื่อไทย มีความเห็นขัดแย้งกันในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า จะทำประชามติ หรือ โหวตวาระ 3 นั้น ไม่ได้เรียกว่าเป็นความขัดแย้ง แค่เป็นความเห็นต่างกันเท่านั้น ซึ่งขณะนี้รัฐบาลกำลังหารือถึงวิธีการว่าจะเดินหน้าอย่างไร ที่จะให้ประชาชนได้รับประโยชน์มากที่สุด โดยย้ำว่ารัฐบาลมุ่งเน้นที่เนื้อหา ไม่ได้มุ่งช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตามที่หลายฝ่ายมอง ขณะที่การประชุมพรรคเพื่อไทย ในวันนี้ ก็เป็นการเปิดให้สมาชิกพรรค ได้แสดงความเห็นกันอย่างกว้างขวาง ทั้งนี้ ได้พูดคุยกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี แล้ว ถึงข้อห่วงใยและรัฐบาลเอง ก็ไม่ได้กังวลว่าการทำประชามติในครั้งนี้จะได้เสียงถึงกึ่งหนึ่งหรือไม่ หากไม่ถึงก็สามารถกลับมาแก้รัฐธรรมนูญรายมาตราได้ ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการเสียหน้าแต่อย่างใด เนื่องจากการทำประชามตินั้น ไม่ได้เป็นนโยบายของรัฐบาลตั้งแต่แรกแต่มาจากคำวินิจฉัยแนะนำจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ   มท.1ไม่ฟันธงประชา มติปัดแตกแดงนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ย้ำว่า มีแนวโน้มว่า การสานเสวนาจะเกิดขึ้นก่อน ตามแนวทางที่ศึกษาไว้ โดยจะมีตัวแทนของทุกภาคส่วนร่วมสานเสวนา จะเริ่มได้หลังปีใหม่ ส่วนการทำประชามตินั้นต้องมีการศึกษาอย่างรอบคอบ และต้องเตรียมการหลายขั้นตอน ในการชี้แจงที่มาที่ไปให้ประชาชนทราบ แต่ไม่ใช่การชี้นำประชาชน ดังนั้นต้องดำเนินการในรูปแบบที่ทำประชาเสวนาไปก่อน จากนั้นจึงจะพิจารณาอีกครั้ง ว่าจะประชามติหรือไม่ หรือจะลงมติวาระ 3 หรือไม่ทั้งนี้ นายจารุพงศ์ กล่าวด้วยว่า ท่าทีของคนเสื้อแดงจากปฏิญญาโบนันซ่านั้น คือ ความเห็นตรงกันที่ต้องแก้รัฐธรรมนูญ แต่วิธีการแตกต่างกันเท่านั้น เหมือนการตีความคนละแบบ แต่ไม่ได้ขัดแย้งกัน พร้อมจะได้พูดคุยกับแกนนำคนเสื้อแดงเหมือนที่พูดคุยกับทุกภาคส่วนด้วย 'จตุพร'ย้ำควรโหวตวาระ3เมินโดนถอนประกันนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า ความคิดเห็นที่ต่างกันของคนเสื้อแดง กับรัฐบาล ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ถือเป็นเจตนารมณ์ที่ครบถ้วนของคนเสื้อแดง แต่คนที่ลงมติ คือ สมาชิกรัฐสภา ดังนั้น เสื้อแดงจึงอยากให้รัฐบาลกล้าตัดสินใจ เดินหน้าลงมติวาระ 3 เพื่อไม่ให้มีการอ้างในภายหลัง หากประชามติไม่ผ่าน แล้วอ้างว่า รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ผ่านการทำประชามติมาแล้ว 2 ครั้ง ที่จะเข้าทางกลุ่มคนที่ต้องการโค้นล้มรัฐบาลได้ ทั้งนี้ กลุ่มคนเสื้อแดงจะอธิบายสื่อสารไปยังรัฐบาลในรูปแบบมิตรกับมิตร ด้วยความห่วงใย เพราะหากสถานการณ์เกิดพลิกผัน เมื่อบ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย คนเสื้อแดง อาจจะต้องนองเลือดอีกครั้ง พร้อมยืนยันว่า สุดท้ายแล้ว หากรัฐบาลตัดสินใจอย่างไร คนเสื้อแดงก็จะไม่มีปัญหา นอกจากนี้ นายจตุพร ยังกล่าวว่า ไม่กังวล หากถูกพรรคประชาธิปัตย์ ยื่นเรื่องขอให้ศาลพิจารณาเรื่องการถอนประกันตัว ปชป.ป้อง'อภิสิทธิ์'ไม่ถึงคว่ำประชามติหนุนแก้รายมาตรานายนคร มาฉิม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน หรือ วิปฝ่ายค้าน เปิดเผยกับ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า วันนี้ ที่ประชุมวิปฝ่ายค้าน จะมีการพูดคุยเรื่อง แก้รัฐธรรมนูญ เพื่อหาจุดยืนทางการเมือง และตอบข้อสงสัยของสังคม พร้อมยืนยันว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้แสดงความชัดเจนถึงขั้นคว่ำการทำประชามติ แต่ไม่เห็นด้วยหากมีการแก้ทั้งฉบับ และมีการสอดไส้ล้างผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่ยอมรับได้ หากมีการแก้เป็นรายมาตรา เช่น การยุบพรรค และถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ทั้งนี้ ต้องยกเว้น ม.309 โดยหลังจากหารือวิปค้านแล้ว จะมีการพูดคุยกับพรรคอีกครั้ง ซึ่งคาดว่า จะมีความชัดเจนเย็นวันนี้"ในที่ประชุมก็มีความเห็นที่ค่อนข้างจะคล้อยตามกันว่า น่าจะมีการแก้ไข การยุบพรรคการเมือง การตัดสิทธิ์ทางการเมือง พวกนี้" นายนคร กล่าวอย่างไรก็ตาม นายนคร กล่าวว่า ทางพรรคไม่รู้สึกกังวลใจ ที่พรรคภูมิใจไทย มีความเห็นที่แตกต่าง แต่พร้อมเคารพให้ความเห็นของอีกฝ่าย ตลอดจนยืนยันว่า การห้ามแก้ ม.309 ไม่ได้เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี 49 'ณัฐวุฒิ'ยันเสื้อแดง-เพื่อไทยคุยกันได้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะแกนนำคนเสื้อแดง กล่าวยืนยันว่า คนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยไม่ได้ขัดแย้งกันเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่จะมีความเห็นที่แตกต่างกันบ้างก็สามารถพูดคุยกันได้ เพราะมีจุดยืนร่วมกันที่เห็นว่ารัฐธรรมนูญ ปี 50 มาจากการทำรัฐประหารที่สมควรจะต้องแก้ไข ส่วนแนวทางการแก้ไขจะเป็นอย่างไรนั้น ต้องหารือกันอีกครั้ง เนื่องจากในขณะนี้ แต่ละฝ่ายก็ได้แสดงความเห็นส่วนตัวออกมา ซึ่งการหารือจะเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในสถานการณ์ขณะนี้ อย่างไรก็ตาม คาดว่า จะได้ข้อสรุปแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญเร็วๆ นี้ ผลถกวิปค้าน จี้รัฐ ยุติแก้ รธน.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคฝ่ายค้าน หรือวิปฝ่านค้าน แถลงข่าวภายหลังการประชุม ว่า ฝ่ายค้านขอเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เนื่องจากในสถานการณ์ปัจจุบัน อาจนำไปสู่ความแตกแยกมากกว่าการสร้างความปรองดอง ซึ่งหากเดินหน้า ก็จะคัดค้านทั้งในและนอกสภา ตามกรอบของกฎหมาย นอกจากนี้ ไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะอ้างรูปแบบการทำประชามติเหมือนรัฐธรรมนูญปี 2550อย่างไรก็ตาม ในสมัยการประชุมนี้ ฝ่ายค้านจะเดินหน้าติดตามขยายผลการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่อยู่ได้ยื่น ป.ป.ช. ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบ อาทิ การทุจริตโครงการรับจำนำข้าว การแต่งตั้งปลัดกระทรวงกลาโหม โดยมิชอบ ทั้งนี้ ขอให้รัฐบาลเร่งกำหนดวันแถลงผลงานการทำงานตลอด 1 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งมองว่า ในสมัยการประชุมสมัยสามัญนิติบัญญัติ สามารถดำเนินการได้ ปชป. เชื่อ รบ. ทำทุกทางเพื่อประชามตินายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาล โดยเชื่อว่า รัฐบาลจะเดินหน้าทำประชามติตามความต้องการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคาดว่า หลังจากนี้ รัฐบาลจะมีการวางแผนทำทุกวิถีทาง ซึ่งอาจมีเล่ห์กลอุบาย เพื่อให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์ ตามที่กำหนด 24 ล้านคน จึงเรียกร้องให้รัฐบาลประกาศให้ชัดเจนถึงระยะเวลาในการทำประชามติ พร้อมทั้งแสดงรายละเอียดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เป็นไปตามประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่มุ่งเพียงแก้ไขมาตรา 309 เท่านั้น ทั้งนี้ นายชวนนท์ มองว่า การเปิดเวทีสานเสวนาของรัฐบาล จะเป็นเวทีเพื่อระดมผู้คนให้ออกมาใช้สิทธิ์ มากกว่าให้รายละเอียดเรื่องการทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงต้องการให้รัฐบาลเปิดโอกาสให้ผู้ที่เห็นต่าง แสดงความคิดเห็นในเวทีดังกล่าวด้วย