วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

นนท์-เดอะ วอยซ์ "กิ้งก่า"กับ"คุณค่าของมนุษย์"


"ตั้งแต่เกิดไม่คิดว่าจะมีคนมาเสียเงินให้เรา เพราะอย่างแม่ บางทีขอเงินซื้อของเล่นยังไม่ซื้อให้เลย แล้วนี่มีใครไม่รู้เขาเลือกโหวตเรา เลือกเสีย 6 บาทให้ผม ให้ผมได้ทำตามความฝัน"

เปิดตัวอย่างฮือฮาด้วยกติกาที่บอกชัดเจนว่า คนที่จะชนะบนเวที "The Voice" คือคนที่เดินทางผ่าด่านหินมาพร้อม "เสียง" ไม่เกี่ยวกับรูปลักษณ์หน้าตา

ดังนั้น เมื่อสิ้นเสียงประกาศว่า "นนท์-ธนนท์ จำเริญ" เด็กหนุ่มวัย 16 ปี นักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 4 จากโรงเรียนสตรีภูเก็ต คว้าตำแหน่ง "เดอะ วอยซ์ คนแรกของเมืองไทย" หลายคนก็ตื่นเต้น

โดยส่วนหนึ่งดีใจที่คนซึ่งตัวเชียร์ ชนะสมใจอยาก

หากอีกส่วนหนึ่งบอกว่า งานนี้พลิกโผ เพราะนึกว่าคนที่มาจะเป็นอีกราย

จะว่าไปนนท์เองก็ว่าเขาน่ะอยู่ "ส่วนหลัง"

"ผมก็ไม่คิดเหมือนเขาล่ะครับ ผมก็ไม่คิดเหมือนกัน" นนท์ซึ่งเปิดใจให้เราฟัง หลังรู้ผลตัดสินได้ไม่กี่นาที บอกซ้ำๆ ระหว่างยืนอยู่บนเวที ด้วยใบหน้าที่แม้จะเจือด้วยรอยยิ้ม แต่ก็ดูงงๆ

ก่อนจะนั่งลงตรงขอบเวทีแล้วเล่าต่อว่า นี่ไม่ใช่รายการประกวดร้องเพลงรายการแรกที่เขาเดินทางไกลจากบ้านใน จ.ภูเก็ต มาตามหาฝัน แต่ครั้งก่อนๆ นั้นล้มเหลว

"ครั้งนี้ก็ไม่คิดว่าจะได้อะไรเลย"

ตอนแรกไม่คิดมาด้วยซ้ำ-เขาว่า

เพราะคิดว่าตัวเองยังไม่พร้อม หากความที่ครูเชียร์จึงตัดสินเอาก็เอา

จากนั้นพอรู้ว่าได้สิทธิมาร้องบนเวทีจริงความตื่นเต้นก็มาเยือน

แถมมากันเพียบตอนต้องขึ้นเวทีครั้งแรก

"เวทีบ้านผมมันไม่มีพื้นเป็นไฟแบบนี้ เป็นแต่เวทีไม้" นนท์พูดติดตลก ดูต่างจากภาพที่เห็น เพราะยามไม่ได้อยู่บนเวที เหมือนจะเป็นคนนิ่งๆ เฉยๆ ไม่เฮฮา

ซึ่งคงเหมือนกับที่โค้ช "ก้อง-สหรัถ สังคปรีชา" บอกว่ายิ่งคุ้นเคย ก็ยิ่งได้รู้ว่าตัวจริงน่ะทะเล้นใช้ได้

"ตอนนั้นไม่ลุ้นครับ" นนท์บอกอีก

"แค่รู้สึกว่าจะทำยังไงให้ความรู้สึกตื่นเต้นมันหายไป เพราะว่าอึดอัดมาก"

จากนั้นความรู้สึกก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นดีใจเมื่อถูกโค้ชเลือก

ดีใจขึ้นไปอีกเมื่อผ่านเข้ารอบมาเรื่อยๆ หากคราวนี้มีความ "ตกใจ" เข้ามาผสม

"ตั้งแต่เกิดไม่คิดว่าจะมีคนมาเสียเงินให้เรา เพราะอย่างแม่ บางทีขอเงินซื้อของเล่นยังไม่ซื้อให้เลย แล้วนี่มีใครไม่รู้เขาเลือกโหวตเรา เลือกเสีย 6 บาทให้ผม ให้ผมได้ทำตามความฝัน"

"6 บาทถือว่ามากนะครับ สำหรับผมถือว่ามาก"

"ขอบคุณทุกคนจริงๆ ครับ"

นนท์ซึ่งดวงตาเป็นประกายเล่าถึงความฝันให้ฟังด้วยว่า แค่ได้ร้องเพลงและได้ออกโทรทัศน์สักครั้งหนึ่งในชีวิตก็เพียงพอแล้ว

"นึกดูนะ พอตอนแก่ๆ แล้วหลานๆ มาถาม ลุงเคยทำอะไรบ้าง ผมจะได้บอกว่าลุงเคยออกทีวีนะ อะไรอย่างนี้ ให้มันมีอะไรพิเศษบ้างในชีวิตเรา"

ดังนั้น ซิงเกิลแรกในชีวิต "ยังไม่เคย" จึงเหนือฝันมากๆ

"ไม่คิดว่าอายุ 16 จะมีซิงเกิลแล้ว เร็วมากเลย ตอนอัดเสียงเราเต้นกันในห้องอัดมันส์มาก สนุกมาก เป็นการอัดที่ผมไม่นึกว่านี่คือการอัดเสียงเหรอ" นนท์บอกยิ้มๆ

"มันมีความสุข"

"เวลาผมฟังเพลงของตัวเองเพลงนี้ ยังรู้สึกถึงความสุขนั้นได้"

ความสุขที่ตอนนี้ได้นำชื่อเสียงมาให้เขามากมาย หากเจ้าตัวว่า "ผมก็ไม่อยากดังขนาดนั้น"

"แค่อยากเป็นคนที่ยืนอยู่ในพื้นที่ตรงนี้ ไม่ใช่เป็นแค่คนดัง แต่เป็นคนดีด้วย"

"เราอยู่ในที่แจ้ง มีเด็กเป็น 10 คนมองเรา เราก็ต้องทำให้ดี เพราะไม่รู้เลยว่าบางสิ่งที่เราทำไปใครจะเอาไปทำตามบ้าง"

ส่วนเรื่องชื่อเสียงที่ตามมาจะเปลี่ยนแปลงตัวตนของเขาหรือไม่นั้น นนท์ตอบพร้อมรอยยิ้มใสว่าไม่รู้จริงๆ

""แต่เราต้องอย่าไปยึดติด กิ้งก่ามันอยู่มาได้กี่ศตวรรษ เพราะมันรู้จักการเปลี่ยนแปลง นั่นคือสิ่งที่มนุษย์ควรทำ เราต้องยอมรับในการเปลี่ยนแปลงที่จะมาเรื่อยๆ แต่กิ้งก่ามันเปลี่ยนแต่สี ไม่ได้เปลี่ยนรูปร่างของมัน เหมือนกับคนล่ะครับ เราต้องรักษาสิ่งที่เราเป็นไว้"

"เราก็กินข้าวเหมือนคนธรรมดา คนมีชื่อเสียง เขาก็กินข้าวเหมือนเรา ยังไงค่าของมนุษย์มันก็เท่ากันเสมอละครับ ต่างกันที่หน้าที่การทำงานของแต่ละคนเท่านั้นเอง บางคนอยู่ในที่มืด บางคนอยู่ในที่แจ้ง แต่ทุกคนก็เป็นมนุษย์""

สำหรับตัวเขาเอง นนท์บอกตอนนี้เขามีความสุขที่สุด สุขเพราะความฝันที่มีมาตั้งแต่เด็กกลายเป็นความจริง ดังนั้นสำหรับคนที่มีฝัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม เขาขอเอาใจช่วย

"ต่อให้คุณผิดหวังมาแล้ว ก็อย่ายอม อย่าหยุดอยู่กับที่"

"มันเหมือนกับขุดทองขุดเพชรละครับ เรากำลังขุดอยู่จะเจอเพชรแล้ว เหลืออีกนิดเดียว แต่ไม่ขุดต่อ ก็ไม่มีทางได้เพชร แต่คนที่ขุดมาเรื่อยๆ สักวันเขาต้องได้เพชร"

"เหมือนตัวเขาเองในตอนนี้นั่นแหละ"

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น