วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556

กรณ์ โพสต์เฟซบุ๊ก จวกนโยบายรถคันแรก แค่ประชานิยมหาเสียง


กรณ์ จาติกวณิช



            เมื่อวันที่ 7 มกราคม ที่ผ่านมา นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก Korn Chatikavanij โดยวิพากษ์วิจารณ์ถึงนโยบายคืนภาษีรถคันแรกของรัฐบาล โดยระบุข้อความว่า

            “บางเรื่องพูดแล้วต้องพูดอีก

            วันก่อนผมนั่งรถบนทางด่วนออกไปทางปทุมฯ ตอนประมาณ 06.30 น. รถขาเข้าก็ติดยาวแล้ว แต่ก่อนนี้กว่าจะเริ่มติดจริง ๆ ต้องประมาณเจ็ดโมงเช้า ต้องบอกว่าเป็นภาพที่หดหู่อย่างมาก

            ใครเห็นก็ต้องนึกภาพทันทีว่า ถ้าทุกคนที่ตื่นแต่ตีห้า เพื่อมานั่งรถติดอยู่ในขณะนั้น สามารถขึ้นรถไฟฟ้าตอน 07.00 น.  เพื่อเข้ามาทำงานตอน 8 โมงเช้า ไม่ต้องคิดเลยว่าคุณภาพชีวิตจะดีขึ้นแค่ไหน เงินก็ประหยัดมหาศาล

            ในการทำงานการเมือง บางครั้งจะมีบางเรื่องที่ถึงแม้ว่าอาจจะทำให้เสียคะแนนแต่เราก็ต้องพูด เพราะเป็นเรื่องที่สะท้อนความคิดที่ผิดพลาด และสร้างความเสียหายจริง ๆ

            เรื่องหนึ่งคือ 'รถคันแรก' ซึ่งผมขอออกตัวจากใจจริงก่อนว่าผมขอ 'แสดงความยินดี' กับทุกคน 1,300,000 คน ที่จะได้ภาษีคืนส่วนหนึ่ง ก็หวังว่าจะเก็บเอาไว้ผ่อนรถที่ได้มา หรือจ่ายค่าประกัน ค่าน้ำมัน ค่าอะไหล่ที่จะตามมานะครับ แต่รัฐบาลกำลังสรุปว่าความสุขของคน 1.3 ล้านคนนั้น เป็นคำตอบสุดท้ายว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่ดี

            ซึ่งไม่ใช่แน่นอน

            ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องรถติด เพราะเราก็ต้องยอมรับว่าที่รถติดเพิ่มขึ้นนั้น สาเหตุไม่ได้มาจาก 'รถคันแรก' อย่างเดียวแน่นอน

            แต่ผมนั่งคิดดูว่า รถจากโครงการนี้ ความยาวประมาณคันละสามเมตร ถ้าเอามาเรียงแถวต่อกันก็จะเท่ากับเกือบ 4 ล้านเมตร หรือเท่ากับ 4,000 กิโล ถ้าเอาไปจอดไว้บนถนนสี่เลนจากกรุงเทพไปเชียงใหม่ให้เต็มทุกเลน ก็ยังไม่มีที่พอสำหรับ 'รถคันแรก' ทุกคัน

            ผมก็เข้าใจนะครับ ว่าผู้ได้ประโยชน์จากโครงการนี้ อาจจะเคืองว่าเสียงที่ออกมาค้านและออกมาบ่นอาจเป็นเสียงของผู้ที่มีโอกาสมีรถมาก่อน และเหมือนกับมาพยายามปิดโอกาสของผู้ที่ยังไม่มี

            แต่เราต้องเริ่มต้นที่ภาพใหญ่ก่อนครับ และถามว่า รัฐบาลควรมีนโยบาย 'กระตุ้น' ให้มีการใช้รถยนต์มากขึ้นหรือไม่ ผมว่าแค่ตรงนี้ก็จบแล้ว แน่นอนทุกคนมีสิทธิที่จะซื้อรถยนต์ แต่รัฐเก็บ 'ภาษีบาป' (ภาษีสรรพสามิต) จากรถยนต์มาตลอดก็เพราะรัฐรู้ดีว่าการใช้รถนั้นมีผลทางลบกับสภาพแวดล้อมกับสังคม รัฐไม่ได้เก็บภาษีบาปจากการซื้อบ้าน ไม่ได้เก็บจากการซื้อจักรยาน ก็เพราะสิ่งเหล่านั้นมีแต่ประโยชน์ ไม่มีพิษภัยเหมือนรถยนต์

            ดังนั้นรัฐปล่อยให้ทุกคนที่มีสตางค์ซื้อรถยนต์ได้ แต่ก็ควรต้องเก็บภาษีจากเขาเพื่อนำเงินนั้นมาพัฒนารถเมล์บ้างสร้างรถไฟฟ้าบ้าง เพื่อที่จะเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ที่ไม่มีสตางค์ หรือผู้ที่เลือกที่จะไม่ใช้รถยนต์

            รัฐจะเชียร์โครงการของตัวเองแค่ไหน รัฐก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า มีคนล้านคนออกมาใช้รถไฟฟ้า ดีกว่ามีคนล้านคนออกมาใช้รถยนต์กันคนละคัน ดังนั้น ถ้ารัฐมีเงินอยู่แสนล้านบาท ผมถามว่ารัฐควรเอาเงินนั้นไปสนับสนุนการสร้างรถไฟฟ้า หรือการกระตุ้นให้คนซื้อรถเพิ่ม

            มองอีกแง่มุมหนึ่ง ถ้ารัฐบาลจริงใจจะเพิ่มโอกาสให้ทุกคนได้ซื้อรถจริง ทำไมรัฐบาลไม่ลดภาษีให้มากกว่านี้และที่สำคัญ ทำไมไม่ลดอย่างถาวร ทำไมต้องมีเงื่อนไขเวลาที่จำกัด

            คำตอบเดียวที่เป็นไปได่ก็คือเป็นเพราะนโยบาย 'รถคันแรก' นั้นเป็นเพียง ประชานิยมหาเสียงนั่นเอง
            การกำหนดเวลาที่จำกัด นอกจากจะไม่ยุติธรรมกับผู้ที่ยังไม่พร้อมในช่วงเวลานั้น แต่กลับเป็นตัวกระตุ้นให้ประชาชนซื้อรถยนต์ ทั้ง ๆ ที่เดิมทีอาจไม่ได้คิดจะมีรถด้วยซ้ำไป สุดท้ายซื้อเพียงเพราะกลัว 'ขาดทุนกำไร'

            ผมพบมาเยอะครับ จองรถเอาไว้ก่อนเพราะกลัว 'เสียสิทธิ' ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดจะมีรถเลย บางคนขับรถยังไม่เป็นด้วยซ้ำ แต่เหมือนถูกบีบให้ต้องรีบจองไว้ก่อน และนอกจากนั้น ผมอยากรู้จริง ๆ ว่า ที่เข้าโครงการนี้ เป็นการซื้อรถ 'คันแรก' จริง ๆ สักกี่คัน

            และการกำหนดกรอบเวลาก็ทำให้มีการเร่ง 'กระตุ้น' ความต้องการ ทั้ง ๆ ที่ความพร้อมยังไม่มีได้ลดภาษีหลายหมื่นบาทก็จริง แต่กลายเป็นหนี้เกือบล้านบาท บวกกับค่าใช้จ่ายที่ตามมาอีกเท่าไร

            ชาวนาที่ยังไม่มีที่ทำกินของตัวเอง หรือคนยากคนจนที่ยังไม่มีบ้านที่อยู่อาศัย เอาเงินไปช่วยพวกเขาน่าจะเป็นหน้าที่ของรัฐบาลมากกว่า

            รัฐมีหน้าที่บริหารเงินภาษีให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมมากที่สุด ใครได้เงินใครก็ชอบครับ

            แต่ในกรณีนี้ผมว่าพรรคเพื่อไทยคิดผิด เพราะผมมั่นใจว่าแม้แต่ผู้ที่ได้ประโยชน์ก็รู้ว่ารัฐบาลคิดผิด สุดท้ายรถก็ติด คะแนนเสียงก็ไม่ได้ ผู้คนเป็นหนี้เพิ่มขึ้น งบรัฐบาลก็สูญไป
            เพียงแต่ต้นทุนเพื่อไทยเขาไม่มี เพราะเขาไม่ได้ใช้เงินเขาเองเท่านั้น”

            อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการโพสต์ข้อความดังกล่าวได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊ก เข้ามาแสดงความคิดเห็นถึงนโยบายรถคันแรกของรัฐบาลเป็นจำนวนมาก โดยมีทั้งฝ่ายที่สนับสนุนความคิดเห็นของนายกรณ์ และมีทั้งฝ่ายที่มองว่าเป็นเพียงการโพสต์ข้อความจากแค่มุมมองของนายกรณ์เท่านั้น ไม่ได้เป็นการวิเคราะห์นโยบายรถคันแรกอย่างแท้จริงดังที่นายกรณ์กล่าวอ้าง 

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น