โดย แม่ย่าฤาษีภคินีมหามุนี อายุ 36 ปี เท้าความถึงชีวิตตอนเป็นฆราวาสให้ฟังว่า เดิมตนชื่อ ผ่องศรี ไชยแสนท้าว บ้านของตนเป็นครอบครัวที่ยากจน ตอนเด็กไม่มีอะไรเลย อาหารการกิน หรือเรื่องเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ก็ค่อนข้างหายาก โยมแม่ของตนจึงขยันทำงาน เพื่อหาเงินมาส่งตนเรียน ส่วนตนก็ตั้งใจเรียน จนสามารถเรียนจบปริญญาตรี สาขาภาษาอังกฤษ-ธุรกิจ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
ก่อนหน้านี้ตอนเป็นนักศึกษา แม่ย่าฤาษีภคินีมหามุนี บอกว่า เคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศญี่ปุ่น หลังจากจบปริญญาตรี ก็ได้ทำงานอยู่ที่สถาบันสอนภาษา AUA ทำหน้าที่เป็นเลขาฯ ประสานงานกับชาวต่างชาติ ต่อจากนั้นก็ไปทำงานที่สหรัฐอเมริกาถึง 10 ปี ซึ่งระหว่างอยู่ที่อเมริกาก็ได้ไปวัดไทย และปฏิบัติธรรมมาโดยตลอด
ถ้าถามว่าเพราะเหตุใดถึงสละหน้าที่การงานจากสาวออฟฟิศในอเมริกา มาเป็นฤาษีนั้น แม่ย่าฤาษีภคินีมหามุนี เล่าว่า หลังจากที่กลับจากอเมริกา ก็มาทำธุรกิจหอพัก จากนั้นตนก็เริ่มเบื่อหน่ายกับความวุ่นวายทางโลก จนได้เริ่มศึกษาธรรมะ และได้พบกับ หลวงปู่ฤาษีลิงใหญ่ วัดป่าศรีสุทธาคำมะโฮ จ.กาฬสินธุ์ จึงศรัทธา เนื่องจากท่านมีญาติโยมเยอะ มีเมตตา และสอนธรรมะได้เป็นธรรมชาติ สอดคล้องกับชีวิตประจำวัน จึงเกิดความศรัทธา และเข้ารับการบวชเป็น "ฤาษี" ในที่สุด ซึ่งถือว่าเป็นฤาษีหญิงตนแรกในประเทศไทย
ฤาษีหญิง กล่าวต่อว่า ส่วนสาเหตุที่ไม่บวชชีนั้น ก็เพราะว่า แม่ชีไม่สามารถบีบนวด รักษาญาติโยม บำบัดโรคได้อย่างฤาษี ส่วนการถือศีลนั้น ก็ถือเหมือนกันคือ ถือศีล 5 ศีล 8 และศีล 227 ข้อ คุมด้วย 3 ศีล คือ กาย วาจา ใจ บริสุทธิ์ และฤาษีนั้น จะเป็นผู้ให้ ไม่ใช่ผู้ขอ ซึ่งหากพบฤาษีตนไหนขอเงินญาติโยม ถือว่าเป็นฤาษีปลอม
สำหรับฤาษีนั้น จะมีวิชาทั้งพุทธเวทย์-ไสยเวทย์ หรือทั้งสายดำและสายขาว ทั้งการแก้คุณไสย ลงนะหน้าทอง วิชาสาวน้ำตาเทียน สวมมงกุฎนาคา สวมชฎานาคี กล่าวคือเป็นวิชาที่ทำนายชะตาของบุคคลนั้น ๆ โดยจะนำเอาน้ำตาเทียนมาหยดลงในน้ำ จากนั้นก็จะหยิบขึ้นมากลายเป็นรูปพญานาค บางครั้งก็ยาว บ้างครั้งก็สั้น บางครั้งก็ขาด ขึ้นอยู่กับแต่ละดวงชะตาของบุคคล และหากผู้ใดมีชะตาชีวิตที่ไม่ดี ก็จะทำพิธีกรรมต่อชะตา นอนโลง ถวายสังฆทาน เพื่อทำบุญต่ออายุต่อไป
นอกจากนี้ ยังมีวิชา กสิณไฟ เป็นวิชาที่ฤาษีจะพ่นน้ำแล้วกลายเป็นเปลวเพลิง เป็นการเป่ายันต์เกาะเพชรไล่เคราะห์ไล่ทุกข์โศกโรคภัย อีกทั้งยังมีการนวดเท้าไฟ หรือที่เรียกว่าการเหยียบขาง โดยจะนำแผ่นเหล็กไปวางไว้ที่เตาอังโล่ จากนั้นก็ใช้เท้าจุ่มน้ำมัน แล้เหยียบไปยังเหล็กที่อังไฟ แล้วรีบเอาเท้าเหยียบไปยังจุดที่ญาติโยมป่วย ทั้งอัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นโรคกระดูก เป็นต้น แต่บุคคลที่เป็นโรคหัวใจ โรคหอบหืด ไม่สามารถทำได้ เพราะต้องนอนคว่ำ
อย่างไรก็ตาม แม่ย่าฤาษีภคินีมหามุนี นพเก้า กล่าวว่า สิ่งที่ตนได้จากการบวชเป็นฤาษีมา 3 ปีนั้น ตนได้ให้ ได้ทำความดี ได้ธรรมะ ได้ช่วยเหลือคน ช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนา และเมตตาผู้อื่น โดยที่วัดของตนนั้น ไม่ได้เรียกร้อง หรือเรี่ยไรเงินจากญาติโยมเลย ทุกคนมาขอความช่วยเหลือ เพราะความทุกข์ เราไม่เคยเรียกร้องอะไรตอบแทน แค่เขาพ้นทุกข์ก็ยินดีแล้ว
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น