วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556

คลัง เล็งขอขึ้นภาษี VAT หาเงินใช้หนี้กู้ 2.2 ล้านล้านบาท


คลัง เล็งขอขึ้นภาษี VAT หาเงินใช้หนี้กู้ 2.2 ล้านล้านบาท

            กระทรวงการคลัง เล็งขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพื่อหารายได้ในการใช้หนี้เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท ชี้ภายใน 7 ปี ปรับขึ้นแน่! หวังเพิ่มรายได้รัฐอีกปีละ 5 หมื่นล้านบาท
            สำนักงานเศรษฐกิจและกระทรวงการคลัง (สคค.) เตรียมเสนอปรับโครงสร้างภาษี เพื่อรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและหารายได้ให้กับภาครัฐ เพื่อใช้พัฒนาประเทศและชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้นจากเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท

            โดย นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า การลงทุนในระบบคมนาคมขนส่งของประเทศ จะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 1% ต่อปี และจะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มเฉลี่ย 4 หมื่นล้านบาทต่อปี

            ทั้งนี้ รัฐบาลประเมินไว้ว่า เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาทนั้น จะชำระดอกเบี้ยในช่วง 10 ปีแรก และจะทยอยชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย ตั้งแต่ปีที่ 11 เป็นต้นไป จนถึงปีที่ 50 จะชำระหนี้ครบทั้งหมด รวมทั้งสิ้น 5.16 ล้านล้านบาท ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย

            นอกจากนี้ นายสมชัย ยังกล่าวอีกว่า จะมีการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล เหลือ 23% เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของเอกชนไทย ให้นำกำไรไปลงทุนต่อได้ ต่างชาติก็จะอยากมาลงทุนในไทยมากขึ้น ทำให้ฐานภาษีเงินได้นิติบุคคลก็จะกว้างขึ้น และทำรายได้มากขึ้นในระยะกลางและระยะยาว

            ขณะที่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) มีความชัดเจนว่าถึงจุดหนึ่งก็ต้องปรับเพิ่มขึ้น ถึงแม้ปัจจุบันจะต้องคงอัตราไว้ที่ 7% แต่เมื่อเศรษฐกิจเริ่มดี และคนพร้อมจะเสียภาษีมากขึ้น ก็จะต้องปรับเพิ่มอัตราภาษีอีก 1% เพราะจะทำให้รายได้ของรัฐเพิ่มขึ้นอีก 5 หมื่นบาทต่อปี อย่างไรก็ตาม อัตราภาษีจะไม่คงอยู่ที่ 7% ไปจนถึง 7 ปีอย่างแน่นอน

สหรัฐฯ ส่งเครื่องบินขับไล่เสริมอีก พร้อมตอบโต้เกาหลีเหนือ


เตรียมอพยพคนไทยในเกาหลีใต้ หลังเกาหลีเหนือประกาศสงคราม



            สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานความคืบหน้าจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ว่า ทางการสหรัฐฯ ได้ส่งเครื่องบินขับไล่หลายลำ ไปยังเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา โดยยังให้เหตุผลว่า นี่เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจซ้อมรบร่วมกับเกาหลีใต้ ขณะที่เกาหลีใต้เผย พร้อมตอบโต้เกาหลีเหนือทันทีหากมีการจู่โจมใด ๆ

            รายงานระบุว่า สหรัฐฯ ได้ส่งเครื่องบินขับไล่รุ่น เอฟ-22 แร็ปเตอร์ ไปยังฐานทัพอาการสหรัฐฯ ในประเทศเกาหลีใต้ หลังจากเกาหลีเหนือประกาศภาวะสงครามกับเกาหลีใต้อย่างเป็นทางการได้ 1 วัน ซึ่งถึงแม้ว่าสหรัฐฯ จะบอกว่าเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจซ้อมรบ แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นการกระตุ้นให้เกาหลีเหนือแสดงท่าทีก้าวร้าว และข่มขู่สหรัฐฯ อีกครั้งอย่างแน่นอน ขณะที่ประธานาธิบดีปาร์ก กึน เฮ ได้ประกาศว่า  หากเกาหลีเหนือจู่โจมเมื่อไร เกาหลีใต้ก็พร้อมจะตอบโต้ทันที

            อย่างไรก็ดี ล่าสุดยังไม่มีรายงานว่า เกาหลีเหนือมีการเคลื่อนไหวทางการทหารในช่วงนี้ แต่สถานการณ์ก็ยังคงอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน และไม่อาจคาดเดาท่าทีของเกาหลีเหนือได้เลย

            ขณะเดียวกัน ทางด้านกระทรวงแรงงานไทย ก็ได้เตรียมแผนอพยพคนไทยในเกาหลีใต้ หลังเกาหลีเหนือประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ ด้านกระทรวงการต่างประเทศ เตือนอย่าเพิ่งตื่นตระหนก ชี้ยังไม่สั่งประกาศแผนอพยพ เพราะจะเป็นการเพิ่มน้ำหนักให้เกาหลีเหนือ

            วานนี้ (31 มีนาคม) นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมอพยพคนไทยในเกาหลีใต้ หลังจากที่เกาหลีเหนือประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ ว่า ตนได้สั่งให้ทูตแรงงานไปสำรวจจำนวนแรงงาน รวมถึงคนไทยที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งติดกับเกาหลีเหนือแล้วว่ามีจำนวนเท่าใด พร้อมทั้งได้ชี้แจงถึงแผนการอพยพให้กับคนไทยที่อยู่ในประเทศเกาหลีใต้ทั้งหมด ทั้งแรงงาน นักเรียน นักศึกษา รวมถึงหญิงไทยที่แต่งงานกับชาวเกาหลีใต้ ประมาณ 44,000 คน และในเบื้องต้นได้กำหนดจุดอพยพไว้ 4 จุด อาทิ เมืองปูซาน และได้เตรียมความพร้อมเรื่องเครื่องบินเช่าเหมาลำ เรืออพยพไปญี่ปุ่น ด้วย

            ขณะที่ นายมนัสวี ศรีโสดาพล อธิบดีกรมสารนิเทศกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีนี้ว่า ตนยังไม่อยากให้วิตกเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก ซึ่งทางกระทรวงก็ได้รับรายงานจากสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโซล โดยระบุว่า ประชาชนส่วนใหญ่ในกรุงโซล หรือพื้นที่ต่าง ๆ ก็ใช้ชีวิตอย่างปกติ ส่วนขณะนี้ กระทรวงการต่างประเทศก็ได้ประเมินสถานการณ์เป็นระยะ ๆ และมีแผนอพยพที่ใช้ในการดูแลคนไทยทั่วโลก โดยจะนำมาปรับใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ และคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก อย่างไรก็ดี ในประเทศเกาหลีเหนือนั้น มีคนไทยทำงานอยู่ 10 คน เป็นพนักงานในบริษัทเอกชน

            พร้อมกันนี้ นายมนัสวี ยังกล่าวถึงเหตุผลที่ยังไม่ประกาศแผนอพยพในช่วงนี้ว่า เพราะไม่อยากให้เกิดความวิตกกังวล ซึ่งหากประกาศออกไปแล้วจะเป็นการเพิ่มน้ำหนักให้กับประเทศเกาหลีเหนือ ทั้งนี้ ตนก็อยากให้เกาหลีเหนือยับยั้งชั่งใจ เพื่อคำนึงถึงความสันติภาพและความสงบสุขของภูมิภาคด้วย
 

            ส่วนทางด้าน นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้มอบหมายงานให้กระทรวงการต่างประเทศติดตามและคอยดูแลคนไทยที่อยู่ในต่างประเทศอย่างใกล้ชิด ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ของกระทรวงเข้าไปประสานงานในแต่ละพื้นที่ แต่ตอนนี้ต้องรอดูสถานการณ์ก่อน

วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2556

บรรณารักษ์อังกฤษโดนเด้ง หลังปล่อย นศ. เต้นฮาร์เล็ม เชค ในห้องสมุด





         เมื่อวันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์เดอะการ์เดี้ยน รายงานว่า บรรณารักษ์ประจำห้องสมุดวิทยาลัยเซนต์ ฮิลดา ในอ็อกซ์ฟอร์ด ต้องถูกไล่ออก หลังปล่อยให้นักศึกษาเต้นฮาร์เล็ม เชค กันในห้องสมุด
        
         บรรณารักษ์รายนี้ คือ กาลิปโซ แนช ได้ถูกไล่ออกจากงาน หลังจากที่เธอปล่อยให้นักศึกษาเต้นฮาร์เล็ม เชค กันวุ่นวายในห้องสมุด ก่อนโพสต์คลิปลงในยูทูบ และทำให้เรื่องแดงขึ้น โดยแนช ถูกกล่าวหาว่าเธอละเลยการดูแลห้องสมุด และปล่อยให้เหตุการณ์ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในห้องสมุดนั้นเกิดขึ้น ส่วนนักศึกษากลุ่มที่ร่วมกันเต้นฮาร์เล็ม เชค ก็ได้รับโทษจากทางวิทยาลัยเช่นกัน

          จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้นักศึกษาที่เต้นฮาร์เล็ม เชค ออกมาชี้แจงและเรียกร้องขอให้ทางวิทยาลัยพิจารณาให้แนชกลับมาทำงานอีกครั้ง โดยนักศึกษากลุ่มนี้เปิดเผยว่า การเต้นฮาร์เล็ม เชค นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 23.30 น. ของวันอาทิตย์ ซึ่งมันก็ไม่ได้สร้างความรำคาญ หรือเป็นการป่วนห้องสมุดแต่อย่างใด และที่สำคัญ คือการเต้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาประมาณ 7 นาทีเท่านั้น

          อย่างไรก็ดี ยังไม่มีรายงานว่า แนชจะได้มีโอกาสกลับมาปฏิบัติหน้าที่อีกหรือไม่ แต่นักศึกษาในวิทยาลัยคนอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ต่างออกโรงเรียกร้องให้ทางมหาวิทยาลัยรับเธอกลับเข้าทำงานอีกครั้งเช่นกัน





คลิป บรรณารักษ์อังกฤษโดนเด้ง หลังปล่อย นศ. เต้นฮาร์เล็ม เชค ในห้องสมุด โพสต์โดยคุณ  EbumsWorld365 สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

รวบแล้ว! 2 โจ๋ปาดคอชิงทรัพย์นักข่าว พบกบดานในพื้นที่เกิดเหตุ

ปาดคอนักข่าว


            ตำรวจ สน.พหลโยธิน รวบ 2 คนร้าย ปาดคอชิงทรัพย์นักข่าวไทยโพสต์ คาอพาร์ทเม้นท์ใกล้ที่เกิดเหตุ โดยเตรียมนำตัวแถลงข่าวในวันนี้ ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล

            สืบเนื่องจากกรณีที่ นายสุวัฒน์ ปัญญาวงศ์ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ได้ถูกคนร้ายปาดคอชิงทรัพย์ ภายในซอยเสือใหญ่อุทิศ เมื่อวันที่ 18 มีนาคม ล่าสุด เมื่อวานนี้ (20 มีนาคม) มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถแกะรอยจนจับกุมผู้ต้องหาได้ 2 ราย ขณะพักอาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่ง ในซอยเสือใหญ่อุทิศ โดยทราบชื่อ คือ นายศรัณย์ ชูนิ่ม อายุ 24 ปี ซึ่งเป็นคนลงมือก่อเหตุใช้อาวุธมีดปอกผลไม้ความยาวประมาณ 1 ฟุต ปาดคอเหยื่อ และนายรัมย์ (นามสมมุติ) อายุ 19 ปี ซึ่งเป็นคนขี่รถจักรยานยนต์พานายศรัณย์ออกไปก่อเหตุในวันดังกล่าว

            จากการสอบสวนนายศรัณย์รับสารภาพว่า เป็นคนลงมือก่อเหตุดังกล่าวจริง โดยเข้าไปจี้ชิงโทรศัพท์มือถือ เพราะเห็นเหยื่อกำลังเดินคุยโทรศัพท์อยู่ และตนต้องการกระเป๋าสะพายของเหยื่อด้วย แต่เหยื่อต่อสู้ ขัดขืน จึงนำมีดปอกผลไม้ที่พกติดตัวไปด้วยลงมือก่อเหตุดังกล่าว ทั้งนี้ หลังก่อเหตุตนได้โยนมีดเล่มดังกล่าวทิ้งคลองแสนแสบ ในพื้นที่ สน.โชคชัย ไปแล้ว ก่อนกบดานอยู่ในพื้นที่ โดยไม่ได้หลบหนีไปไหน             

            ด้าน พล.อ.ต.ธนกฤต ลิ้มรัตน์ ผอ.รพ.ลาดพร้าว เปิดเผยว่า ขณะนี้นายสุวัฒน์มีอาการดีขึ้นมากแล้ว โดยยังเจ็บที่ซี่โครงขวาเล็กน้อย และเจ็บตึงบริเวณบาดแผล ส่วนการผ่าตัดเย็บหลอดเลือดดำที่ฉีกขาดนั้น ก็ผ่านไปได้ด้วยดี เหลือเพียงการเฝ้าระวังไม่ให้แผลติดเชื้อ โดย ช่วงบ่ายวันที่ 19 มีนาคม ได้ย้ายคนไข้ออกจากห้องไอซียู ไปพักรักษาตัวอยู่ที่ห้องคนไข้ธรรมดาแล้ว คนไข้สามารถทานอาหารเอง และลุกขึ้นเดินได้เล็กน้อย ส่วนแขนขวาที่มีอาการเมื่อยล้า แพทย์ยังคงทำกายภาพบำบัดทุกวัน

            ขณะ ที่ พ.ต.อ.ชาตรี กาญจนกันติ ผกก.สน.พหลโยธิน เผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเชื่อมโยงเข้ากับคนร้าย แต่ส่วนใหญ่ภาพที่ได้จากกล้องวงจรปิดของเอกชนหรือบ้านประชาชนจะมีความ ละเอียดต่ำ จึงต้องใช้เวลาในการตรวจสอบ และประสานเจ้าหน้าที่เทคนิคด้านภาพมาทำให้ภาพชัดเจนขึ้น โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ทุกนายได้เร่งดำเนินการกันอย่างเต็มที่ เพื่อให้สามารถดำเนินคดีกับคนร้ายได้โดยเร็ว อย่างไรก็ตาม จะมีการนำตัว 2 คนร้าย มาแถลงข่าว ในวันนี้ (21 มีนาคม) เวลา 10.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล

สลด! ลูกชายสติไม่ดี คว้าไม้หน้าสามฟาดแม่ดับ



          สุดสลด! หนุ่มใหญ่วัย 35 ปี คว้าไม้หน้าสามฟาดแม่จนเสียชีวิตคาที่ หลังไม่พอใจถูกเกลี้ยกล่อมให้ไปรักษาอาการทางประสาท เจ้าตัวอ้างไม่รู้สึกตัว ขณะลงมือก่อเหตุ
          วานนี้ (20 มีนาคม) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ศรีสงคราม จ.นคพรนม ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า เกิดเหตุสลดลูกชายใช้ไม้ทุบตีแม่จนเสียชีวิต จึงไปตรวจสอบยังสถานที่เกิดเหตุ เมื่อไปถึงพบร่างนางบัวผัน  หลักคำ อายุ 68 ปี นอนจมกองเลือดอยู่ โดยสภาพศพนั้นพบว่า มีบาดแผลทุบตีด้วยของแข็งบริเวณศีรษะจนใบหน้ายุบ


          ทั้งนี้ จากการสอบสวนเบื้องต้น พบว่า ผู้ก่อเหตุ คือ นายอภิชาติ หรือตั้ม หลักคำ อายุ 35 ปี ซึ่งเป็นลูกชายของนางบัวผัน โดยก่อนเกิดเหตุ นางบัวผันได้มีปากเสียงกับนายอภิชาติ เนื่องจากนางบัวผันพยายามเกลี้ยกล่อมให้นายอภิชาติ ที่มีอาการป่วยอาการทางประสาทมากว่า 10  ปี และเคยได้รับการรักษากินยาจากโรงพยาบาลจิตเวชต่อเนื่อง แต่พักหลังขาดยา จึงขอให้นายอภิชาติกลับไปรักษาตัวอีกครั้ง แต่นายอภิชาติไม่พอใจ จึงเกิดการโต้เถียงกันอย่างรุนแรง ก่อนที่นายอภิชาติ จะคว้าไม้หน้าสาม กระหน่ำตีจนใบหน้าของนางบัวผันยุบ และเสียชีวิตในที่สุด

          ด้าน นายอภิชาติ ให้การว่า ขณะก่อเหตุโมโหมากจนขาดสติ ทำให้ฆ่าแม่โดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตาม ทางตำรวจจะสอบสวนโดยละเอียด เพื่อดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไป เนื่องจากหลังก่อเหตุยังพบว่า นายอภิชาติมีสติดี พูดคุยรู้เรื่อง  จึงต้องมีการตรวจสอบประวัติโดยละเอียดอีกครั้ง เบื้องต้นได้ตั้งข้อหาฆ่าบุพการีโดยเจตนาแล้ว

ระทึก! จนท. ช่วยพนักงาน 13 ชีวิต ติดลิฟต์ค้าง ปลอดภัยแล้ว

ลิฟท์ค้าง

ลิฟท์ค้าง


          เจ้าหน้าที่เร่งเข้าช่วยพนักงานตัวแทนประกันชีวิต 13 คน ติดอยู่ในลิฟต์ หลังลิฟต์ค้างและไฟดับ ล่าสุดปลอดภัยทุกคนแล้ว
          เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2556 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปากคลองรังสิต จ.ปทุมธานี รับแจ้งเหตุมีพนักงานจำนวน 13 คน ติดอยู่ในลิฟต์ชั้น 5 ของบริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด สาขาปทุมธานี จึงรุดไปตรวจสอบ

          โดย ที่เกิดเหตุพบเจ้าหน้าที่ของบริษัทและเจ้าหน้าที่อาสามูลนิธิป่อเต็กตึ้ง กำลังใช้ไม้หน้าสาม และเหล็ก ช่วยกันงัดประตูลิฟต์ เป็นช่องลมกว้างได้ประมาณ 20 เซนติเมตร ก่อนใช้พัดลมเป่าเพื่อระบายให้อากาศหมุนเวียนเข้าไปในตัวลิฟต์ เพื่อจะได้หายใจกันได้อย่างสะดวก จากนั้นจึงใช้ความพยายามงัดช่องประตูลิฟต์ให้กว้างขึ้นเพื่อให้ตัวคนมุดออก มาได้ โดยใช้เวลานานกว่า 30 นาที ทุกคนจึงออกมาได้อย่างปลอดภัย โดยพบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตัวแทนประกันชีวิตชาย 6 คน และหญิง 7 คน

          จากการสอบถาม นายประทีป ฉิมเย็น อายุ 59 ปี ผู้จัดการภาค บริษัท ไทยพาณิชย์ประกันภัย หนึ่งในผู้ที่ติดอยู่ในลิฟต์ เล่าว่า ตน ได้เดินทางมาเข้าร่วมประชุมสัมมนา เมื่อเสร็จขณะที่ลงลิฟต์รู้สึกว่าลิฟต์หยุดชะงักและไฟดับ ก่อนที่จะมีคนกดปุ่มขอความช่วยเหลือ แต่ไฟก็ยังไม่ติด เจ้าหน้าที่ที่อยู่ข้างนอกจึงช่วยกันงัดและช่วยทุกคนออกมากันได้อย่าง ปลอดภัย

ศาลยกฟ้อง พระเกษม โพสต์คลิปไม่สำรวมลงยูทูบ ชี้ไม่ผิดวินัย

พระเกษม


            ศาลจังหวัด ตัดสินยกฟ้อง พระเกษม โพสต์คลิปถีบโต๊ะเก้าอี้ ชี้ผิดจารีตประเพณี แต่ไม่ผิดวินัย - ด้าน พระเกษม เผย ไม่ติดใจเอาความ จะเดินหน้าสั่งสอนชาวพุทธต่อไป

            เมื่อ วันที่ 20 มีนาคม 2556 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระเกษม อาจุณณฺสีโล เจ้าสำนักสงฆ์วัดป่าสามแยก ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ได้เดินทางไปที่ศาลจังหวัดหล่มสัก เพื่อรับฟังคำพิพากษา กรณีโพสต์คลิปที่แสดงกิริยาไร้ความสำรวมลงเว็บไซต์ยูทูบ โดยยกขาถีบโต๊ะ-เก้าอี้ ซึ่งคดีนี้เป็นคดีที่ 2 ที่อัยการจังหวัดหล่มสักเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2554
            โดยนายประณต วราดิเรก ผู้พิพากษาศาลจังหวัดหล่มสัก ได้ขึ้นนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษา ระบุว่า ศาลชั้นต้นตัดสินยกคำฟ้องพระเกษม ในข้อหาผิดพระราชบัญญัติสงฆ์และอื่น ๆ เนื่องจากเห็นว่า การกระทำของพระ เกษมผิดเพียงจารีตประเพณี ซึ่งไม่มีความผิดบัญญัติอยู่ในพระธรรมวินัย สร้างความดีใจให้บรรดาลูกศิษย์ของพระเกษมที่ติดตามมาให้กำลังใจจำนวนมาก

            ทาง ด้าน พระเกษม ซึ่งมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส กล่าวว่า คดีนี้ไม่หนักใจมาตั้งแต่ต้น ถึงแม้จะชนะคดี แต่ไม่ติดใจเอาความกับกลุ่มบุคคลใด ๆ โดยจะเดินหน้าปฏิบัติธรรมสั่งสอนชาวพุทธต่อไป


 คลิป แบบนี้เรียกว่าอยากดังหรือเปล่า ? โพสต์โดย คุณ watpa samyaek

ตำรวจบึงกาฬ จับผู้ต้องสงสัยเอี่ยวแบงก์พันปลอม เจอ 46 ใบ








            ตำรวจบึงกาฬ รวบผู้ต้องสงสัยเอี่ยวแบงก์พันปลอมระบาด พบธนบัตรใบละ 1,000 บาท จำนวน 46 ใบ เตรียมขยายผลสอบสวนเพิ่มเติม

            เมื่อ วันที่ 20 มีนาคม 2556 เจ้าหน้าที่ตำรวจ จ.บึงกาฬ ได้เข้าจับกุมตัว นายวุฒิชัย วุฒชัยเพชรสังข์ ผู้ต้องสงสัย พร้อมของกลางธนบัตรใบละหนึ่งพันบาทปลอมจำนวน 46 ใบ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่ามีธนบัตรปลอมระบาดใน พื้นที่ อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ จึงได้ทำการสืบสอบและพบเบาะแสว่าผู้ต้องหาคือ นายวุฒิชัย จึงได้เข้าตรวจค้นบ้านพักและพบว่า มีธนบัตรปลอมฉบับละหนึ่งพันบาท จำนวน 46 ใบ ซุกซ่อนอยู่ในหม้อหุงข้าว
            ทั้งนี้ นายวุฒิชัย ให้การว่า ตนรับฝากมาจากเพื่อนในละแวกบ้านเดียวกันโดยไม่ได้เอะใจ จนกระทั่งถูกตำรวจเข้าจับกุม อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อและเตรียมขยายผลสอบสวนต่อไป เนื่องจากเชื่อว่า ธนบัตรปลอมน่าจะยังมีมากกว่านี้

สรรพสามิต ชี้ รถคันแรกไม่ใช่มรดก ตายก่อน 1 ปี หมดสิทธิ์-ต้องคืนเงิน

รถคันแรกทำพิษ พบคนผ่อนไม่ไหว เริ่มขอคืนรถบ้างแล้ว


          กรม สรรพสามิต ย้ำชัด ผู้ใช้สิทธิ์รถคันแรกต้องครอบครองรถ 1 ปี หากเสียชีวิตก่อน 1 ปี แล้วได้เงินคืนไปแล้ว จะต้องคืนเงิน โอนสิทธิ์ให้ญาติไม่ได้ เพราะไม่ใช่มรดก

          จากกรณีที่ นางพัชรี สุนทรนันท์ ชาวจังหวัดอ่างทอง เข้ามาร้องเรียนต่อสื่อมวลชนว่า ถูกกรมสรรพสามิตเรียกเงินจากโครงการรถคันแรกคืนพร้อมดอกเบี้ย หลังจากสามีของนางพัชรีซึ่งเป็นผู้ขอใช้สิทธิ์รถคันแรกเสียชีวิตไปอย่าง กะทันหัน โดยกรมสรรพสามิต ระบุว่า เมื่อผู้ขอใช้สิทธิ์เสียชีวิตไปแล้ว ถือว่าสิทธิ์ของผู้ตายสิ้นสุดลง ดังนั้นจึงต้องนำเงินที่ได้รับคืนไปแล้วมาคืนให้กรมสรรพสามิต พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

          ข่าวดังกล่าวได้สร้างความสับสนให้กับประชาชนที่ได้ใช้สิทธิ์ในโครงการรถคัน แรกเป็นอย่างมาก เพราะไม่แน่ใจว่ากฎเกณฑ์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร หากผู้ใช้สิทธิ์เกิดเสียชีวิตกะทันหันเช่นเดียวกับกรณีที่เกิดขึ้น ซึ่ง เรื่องนี้ ทำให้ นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต ต้องออกมาชี้แจงเมื่อวันที่ 20 มีนาคมว่า มติคณะรัฐมนตรีกำหนดให้ผู้ขอใช้สิทธิ์รถคันแรกต้องเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ และต้องครอบครองรถยนต์ 1 ปี หากเสียชีวิตหลังครอบครองรถไปแล้ว 1 ปี ก็ไม่ต้องนำเงินภาษีมาคืน

          อย่างไร ก็ตาม สำหรับกรณีของนางพัชรีนั้น อธิบดีกรมสรรพสามิต ระบุว่า นางพัชรีต้องนำเงินมาคืนให้กรมสรรพสามิต เพราะจากการตรวจสอบพบว่า สามีของนางพัชรีนั้นไม่ได้ครอบครองรถยนต์ครบ 1 ปี เพราะได้รับรถยนต์เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554 แต่มาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ดังนั้น ญาติต้องนำเงินภาษีมาคืนภายใน 15 วัน หลังจากที่ได้รับเงินไป หากไม่นำมาคืนจะต้องชำระดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันครบกำหนดคืนเงินจนกว่าชำระคืนให้ครบถ้วนตามที่ใบคำขอใช้สิทธิ์ และเงื่อนไขสำหรับรถยนต์ใหม่คันแรก
          อธิบดี กรมสรรพสามิต ยังอธิบายด้วยว่า สิทธิ์รถคันแรกถือเป็นสิทธิ์เฉพาะตัวที่พึงได้ ไม่ใช่มรดก หากผู้ได้รับสิทธิ์เสียชีวิตก่อน 1 ปี หลังซื้อรถไป ก็จะถูกตัดสิทธิ์ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการรถคันแรกได้

พ่อจีนถูกบรรทุกชนดับ หลังทำร้าย-โยนลูก 3 ขวบลงจากแท็กซี่

พ่อจีนถูกบรรทุกชนดับ หลังทำร้าย-โยนลูก 3 ขวบลงจากแท็กซี่


            เมื่อ วันที่ 15 มีนาคม 2556 สำนักข่าวจีนรายงานว่า เกิดเหตุสุดสลดขึ้นในเมืองจางโจว มณฑลฝูเจี้ยนของจีน เมื่อพ่อใจโหดรายหนึ่ง ได้ทำร้ายลูกสาววัย 3 ขวบ ระหว่างโดยสารแท็กซี่ ก่อนทุบกระจกรถ โยนร่างลูกลงจากแท็กซี่จนบาดเจ็บ แต่เคราะห์ตกอยู่ที่พ่อ เพราะเขาถูกรถบรรทุกคันหนึ่งชนเสียชีวิต หลังพยายามวิ่งหนีออกจากที่เกิดเหตุ

            รายงาน ระบุว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 21.00 น. ของวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา พ่อจีนรายหนึ่งได้โบกแท็กซี่ของนายเฉิน เพื่อพาลูกสาววัย 3 ขวบไปหาแม่ที่เมืองตงหยวน แต่ในตอนนั้นเขาไม่มีเงินเลย และโทรศัพท์มือถือก็ไม่มีเงินด้วย จึงได้ขอยืมโทรศัพท์ของนายเฉิน โทรหาลุงของเขาเพื่อขอเงินค่าแท็กซี่ก่อน แต่ระหว่างที่นายเฉินกำลังขับรถพาพ่อลูกคู่นี้ไปยังปลายทางนั้น พ่อราย นี้ก็เกิดคลั่งขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ แล้วทำร้ายทุบตีลูกสาวไม่ยั้ง ก่อนจะหยิบขวดไวน์ขึ้นมาทุบกระจกรถแตก จากนั้น ก็โยนร่างของลูกออกไปนอกรถ ฝ่ายนายเฉินเมื่อเห็นว่าเหตุการณ์รุนแรงแบบนั้น ก็ได้พยายามห้ามและหยุดรถทันทีที่เห็นพ่อโยนลูกสาวออกนอกรถไป และเมื่อรถจอด พ่อโหดรายนี้ก็เปิดประตูวิ่งหนีออกไป หวังจะข้ามถนนไปอีกฝั่ง แต่เคราะห์ร้ายถูกรถบรรทุกที่วิ่งมาด้วยความเร็วชนเข้าอย่างจัง จนทำให้เขาเสียชีวิตคาที่
            อย่างไร ก็ตาม หลังเกิดเหตุ นายเฉินได้โทรแจ้งตำรวจ พร้อมกับพาหนูน้อยส่งโรงพยาบาลเมืองจางโจว ซึ่งตอนนี้อาการของเธอปลอดภัยดีแล้ว แม้ว่าจะมีบาดแผลบนใบหน้าหลายแห่ง รวมถึงได้รับความกระทบกระเทือนที่ศีรษะ ส่วนสาเหตุของการก่อเหตุในครั้งนี้นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน ขณะที่แม่ของเด็ก ซึ่งสองพ่อลูกกำลังจะเดินทางไปหานั้น จนบัดนี้ก็ยังไม่ปรากฏตัวเพื่อให้การกับเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด

สุดเหี้ยม! แก๊งค้ายาใช้สุนัขขนยาเสพติด ก่อนกรีดท้องนำยาออก

แก๊งค้ายาใช้สุนัขขนยาเสพติด

แก๊งค้ายาใช้สุนัขขนยาเสพติด

แก๊งค้ายาใช้สุนัขขนยาเสพติด

แก๊งค้ายาใช้สุนัขขนยาเสพติด


          ตำรวจอิตาลี จับกุมขบวนการค้ายาข้ามชาติ ที่บังคับให้สุนัขกลืนยาเสพติดลงท้องเพื่อขนยาได้ ชี้ มีศพสุนัขที่ถูกทิ้งให้ตายหลังถูกผ่าท้องนำยาเสพติดออกไม่ต่ำกว่า 50 ตัวแล้ว 

          เมื่อวันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์เดลิเมล ของอังกฤษ มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ขบวนการค้ายาเสพติดในอเมริกาใต้ ที่ทางตอนเหนือของ อิตาลี และโรม รวม 75 ราย โดยนักค้ายาเสพติดกลุ่มนี้จะบังคับให้สุนัขกลืนห่อโคเคน หนักห่อละ 1.3 กิโลกรัม ลงท้อง เพื่อขนยาเสพติดข้ามชายแดน ก่อนที่จะกรีดผ่าท้องของมันออกมาเพื่อนำยาเสพติดออก และทิ้งสุนัขเหล่านั้นให้ตาย ซึ่งจากรายงานระบุว่า ปัจจุบันมีสุนัขไม่ต่ำกว่า 50 ตัวแล้วที่ถูกปล่อยทิ้งให้ตายในลักษณะเช่นนี้

          ด้านเจ้าหน้าที่ยังเผยอีกว่า สุนัขพันธุ์ใหญ่ เช่น เกรท เดน ลาบราดอร์และ มัสทิฟฟ์ นั้น เป็นสุนัขที่ขบวนการค้ายาเสพติดเหล่านี้นิยมนำมาใช้ขนยาเสพติด เพราะสามารถขนยาเสพติดได้เยอะ แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าขบวนการค้ายาเสพติดเหล่านั้นใช้วิธีการใดมาบังคับให้สุนัขกลืนห่อยาเสพติดลงท้องกันแน่

          นอกจากนี้ เจ้าหน้ายังเปิดเผยว่าสำหรับผู้ที่จับกุมทั้ง 75 คน จะต้องเผชิญกับข้อหา ร่วมกับก่ออาชญากรรม ค้ายาเสพติด และครอบครองอาวุธเถื่อน

          ทั้งนี้ ที่ผ่านมา เคยมีผู้ใช้วิธีการกลืนห่อโคเคนลงท้อง เพื่อผ่านด่านตรวจบริเวณสนามบินและชายแดนมาแล้ว แต่เมื่อถุงพลาสติกหรือถุงยางอนามัยที่ห่อหุ้มโคเคนพวกนั้นอยู่แตกออก ยาเสพติดจำนวนมากก็จะซึมเข้าภายในร่างกายอย่างรวดเร็ว สร้างความทรมานเจียนตายให้แก่คนที่กลืนห่อยาเสพติดลงไป ด้วยเหตุนี้ในปัจจุบันเหล่าขบวนการค้ายาเสพติดจึงหันมานิยมใช้สุนัขให้กลืน ยาเสพติดลงท้องแทน

          อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีเจ้าหน้าที่พบการใช้สุนัขเพื่อขนยาเสพติดข้ามชายแดน เพราะไม่กี่ปีก่อนก็เคยพบสุนัขเลี้ยงแกะที่ถูกบังคับให้กลืนโคเคนลงท้อง เพื่อข้ามฝั่งจากโคลอมเบียไปยังนิวยอร์ก แต่เจ้าหน้าที่ศุลกากรได้สังเกตว่าสุนัขตัวดังกล่าวมีอาการป่วยผิดปกติ จึงลองเอกซเรย์ดู แล้วก็ต้องตะลึงเมื่อได้พบว่าภายในท้องของสุนัขมีห่อโคเคนอัดแน่นอยู่ถึง 10 ห่อด้วยกัน

รักแรกพบ...สิ่งมหัศจรรย์ของร่างกาย ปลุกหัวใจให้ต้องมนต์ Thailand Web Stat SpeedTest ตั้งเป็นหน้าแรก หน้าแรกกระปุก Kapook รักแรกพบ...สิ่งมหัศจรรย์ของร่างกาย ปลุกหัวใจให้ต้องมนต์

เคยไหม...อยู่ ๆ ก็มีเพศตรงข้ามเดินสวนมา แต่เพียงแค่ปลายหางตาแวบเดียว ก็เหมือนมีแรงอะไรสักอย่างมาบังคับให้เราต้องเหลียวกลับไปมองข้างหลังของเขา หรือเธอคนนั้นจนไม่วางตา ขณะที่บางคนอาจเจอใครสักคนในที่สาธารณะ แล้วได้แค่แอบมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ พร้อมกับยืนอมยิ้มอยู่คนเดียวในโลกของตัวเอง

          จะว่าไปก็แปลกแต่จริง ทั้ง ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทั้งที่มีคนหลายร้อยหลายพันเดินผ่านหน้าเราไป แต่เหตุไฉน บางครั้งบางเวลาเราถึงได้มาสะดุดตาสะดุดใจกับใครสักคนหนึ่งที่เจอกันแค่ ประเดี๋ยวเดียว ทั้งที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขา หรือเธอเป็นใคร มาจากไหน (นี่ถ้าเป็นผู้ชายที่ใจกล้าหน่อย เผลอ ๆ คงจะเดินเข้าไปตีสนิททำความรู้จักเธอคนนั้นแล้วก็ได้)

          นี่กระมังถึงมีคนนิยามอารมณ์ในลักษณะนี้ว่า "รักแรกพบ" แถมพลังของมันช่างมหาศาล ทำให้คนที่ประสบกับ "รักแรกพบ" ตกอยู่ในภวังค์ในชั่วบัดดลราวกับต้องมนต์อะไรสักอย่าง จะห้ามหรือควบคุมไม่ให้เกิดขึ้นก็แสนจะทำได้ยากยิ่ง และเชื่อว่าทุกคนน่าจะเคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มาแล้วไม่มากก็น้อย ไม่รู้ว่าเคยได้ลองหาคำตอบบ้างไหมว่าจริง ๆ แล้ว มันเกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่ ทำไมเราถึงเหมือนถูกสะกดจิตให้สนใจอยากรู้จักใครสักคนมากมายขนาดนี้

          ... คำตอบของเรื่องนี้อยู่ที่การ์ตูนน่ารัก ๆ จาก คุณ hong14 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่จะทำให้คุณเข้าใจกับสิ่งมหัศจรรย์ของ "ความรัก" มากขึ้น

รักแรกพบ
รักแรกพบ

รักแรกพบ

รักแรกพบ

รักแรกพบ

รักแรกพบ

รักแรกพบ

รักแรกพบ

รักแรกพบ

รักแรกพบ

รักแรกพบ

รักแรกพบ

รักแรกพบ

รักแรกพบ

รักแรกพบ

รักแรกพบ

รักแรกพบ

รักแรกพบ

รักแรกพบ

รักแรกพบ

สลด! พ่อข่มขืนลูกในไส้กว่า 2 ปี ซ้ำร้ายชวนเพื่อนร่วมด้วย

ตำรวจ สภ.แม่ริม จับพ่อข่มขืนลูกในไส้กว่า 2 ปี แถมชวนเพื่อนร่วมข่มขืนด้วย เบื้องต้นยังให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา




            เมื่อ วันที่ 20 มีนาคม 2556 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ได้นำกำลังเข้าจับกุม นายไพฑูรย์ เขียวสะอาด อยู่บ้านเลขที่ 6 หมู่ 1 ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ หลังจากที่ได้รับแจ้งว่า นายไพฑูรย์ ข่มขืนลูกสาว และยังพา นายธนพล เชื้อเมืองพาน อายุ 38 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนมาร่วมก่อเหตุด้วย
            ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 15 ปี พร้อมด้วยมารดา ได้เดินทางมาแจ้งความร้องทุกข์ โดยระบุว่า ถูกนายไพฑูรย์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นพ่อของ น.ส.เอ (นามสมมติ) ได้ข่มขืนกระทำชำเราและให้เสพยาบ้าต่อเนื่องตั้งแต่อายุ 13 ปี จนปัจจุบันอายุ 15 ปี รวมระยะเวลา 2 ปี นอกจากนี้ ยังได้เรียกเพื่อน คือ นายธนพล ให้มาร่วมข่มขืนด้วย โดยทำการข่มขืนทั้งหมด 8 ครั้ง ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงล่าสุดวันที่ 11 กุมภาพันธ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ออกหมายจับทั้ง 2 คน

            จาก การสอบปากคำผู้ต้องหานั้น ทั้ง 2 คนให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาว่า ไม่ได้ข่มขืนกระทำชำเรา น.ส.เอ (นามสมมติ) แต่อย่างใด และนายไพฑูรย์ ยังกล่าวอีกว่า ไม่รู้จักและไม่เคยพบนายธนพล ตามคำกล่าวอ้างของลูกสาวมาก่อน

            อย่างไรก็ ตาม เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งข้อหา นายไพฑูรย์ กระทำชำเราผู้สืบสันดานอายุไม่เกิน 13 ปี และไม่เกิน 15 ปี ซึ่งไม่ใช่ภรรยา แม้ว่าเด็กคนนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม รวมถึงข้อหาพาเด็กที่อายุไม่เกิน 15 ปี ไปเพื่อการอนาจาร แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม และกระทำความรุนแรงในครอบครัว ส่วนนายธนดล ข้อหากระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี โดยเด็กจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ข้อหาพาเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปเพื่อการอนาจาร แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม และพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปจากบิดามารดา

ไปกันใหญ่!? ชาวบ้านเชื่อ ไส้กรอกแมว คือเทพวานรมาจุติ

ชาวบ้าน จ.บุรีรัมย์ ที่พบซากลูกแมวในไส้กรอกอีสาน โวยสื่อเสนอข่าวผิด เชื่อเป็นเทพวานรมาจุติ ไม่ใช่ซากลูกแมวอย่างที่เข้าใจ พร้อมลงขันเตรียมเงินไว้สู้คดี หากมีการฟ้องร้องจากเจ้าของโรงงาน






            ตก เป็นข่าวฮือฮา เมื่อชาวบ้าน จ.บุรีรัมย์ พบซากคล้ายลูกแมวในไส้กรอกอีสานที่ซื้อมาจากตลาด และเชื่อว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์จึงเก็บเอาซากดังกล่าวมากราบไหว้บูชาเพื่อขอพร ขณะที่เจ้าของโรงงานไส้กรอกขู่ฟ้องร้องที่ทำให้โรงงานเสียชื่อเสียง พร้อมยืนยันว่าขั้นตอนการผลิตต้องผ่านกระบวนการบดละเอียดซากดังกล่าวจึงไม่ สามารถเข้าไปอยู่ในไส้กรอกได้ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

            ล่าสุด (21 มีนาคม) เรื่องราวกลับเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เมื่อชาวบ้าน จ.บุรีรัมย์ ที่นับถือและบูชาในไส้กรอกแมวดังกล่าว มีการเชิญร่างทรงมาทำพิธีและได้รับคำตอบจากร่างทรงว่า ไส้กรอกแมวที่เข้าใจกันนั้นที่แท้เป็นเทพวานรมาจุติ ทำให้ชาวบ้านทำการต่อว่าผู้สื่อข่าวว่านำเสนอข้อมูลผิดพลาด

            อีก ทั้งชาวบ้านยังกล่าวถึงกรณีที่เจ้าของโรงงานไส้กรอกจะทำการฟ้องร้องที่ทำให้ โรงงานเสียชื่อเสียงว่า ที่ผ่านมาพวกตนไม่เคยคิดจะตามหาผู้ผลิต มีเพียงนักข่าวเท่านั้นที่สืบเรื่องราวเอาเอง แต่หากจะมีการฟ้องร้องจริง ก็จะขอสู้คดี โดยมีการลงขันกันเพื่อเป็นเงินกองกลางสำหรับการสู้คดีครั้งนี้ด้วย

แม่แจง ชาวเน็ตแชร์ภาพน้องออมสินถูกน้ำร้อนลวก ข้อมูลคลาดเคลื่อน

แม่น้องออมสิน แจง ชาวเน็ตแชร์ภาพถ่ายน้องออมสินถูกน้ำร้อนลวก ข้อมูลคลาดเคลื่อน ย้ำ ไม่ได้เสียเงินรักษาวันละ 2 หมื่นตามที่แชร์กัน รับเครียดมากถูกครหาว่าหลอกลวง 



            เมื่อวันที่ 21 มีนาคม รายการเรื่องเล่าเช้านี้นำเสนอข่าว "น้องออมสิน" หนู น้อยอายุ 10 เดือน ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกพูดถึงกันอย่างมากในโลกออนไลน์ เพราะได้มีคนช่วยกันแชร์เรื่องของน้องออมสินที่ถูกน้ำร้อนลวกจนได้รับ บาดเจ็บ และต้องเสียค่ารักษาพยาบาลวันละ 20,000 บาท ไปทั่วโลกไซเบอร์ ทำให้ผู้ใจบุญหลายคนสนใจจะร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลให้น้อง แต่ ก็มีอีกหลายคนตั้งข้อสังเกตถึงความผิดปกติของหมายเลขบัญชีที่ไม่ตรงกับชื่อ ของแม่น้องออมสิน และยังมีบัญชีบริจาคมากกว่า 1 บัญชี ทำให้ชาวเน็ตเกิดความกังขาว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่

            ทั้งนี้ ทางรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ได้ไปสอบถาม ปทิดา แซ่เอี๊ยบ หรือแม่ของน้องออมสิน ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น โดยคุณแม่เล่าว่า เมื่อวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมา ขณะที่เธอกำลังอุ้มน้องออมสินอายุ 10 เดือนอยู่ จู่ ๆ น้องก็เอามือไปกระชากสายไฟ ทำให้กาน้ำร้อนหกรดลงมาบนตัวน้อง เธอจึงรีบนำน้องส่งโรงพยาบาล และเปลี่ยนโรงพยาบาลหลายแห่งเพราะโรงพยาบาลไม่มีแพทย์เฉพาะทาง กระทั่งนึกขึ้นได้ว่ามีสิทธิ์บัตรทองอยู่ที่วชิรพยาบาล เธอจึงนำน้องไปรักษา

            คุณแม่น้องออมสิน เล่าต่อว่า เมื่อคุณหมอดูแล้วก็บอกว่าอาการค่อนข้างหนัก เสี่ยงจะติดเชื้อ จึงต้องให้พักรักษาตัวอยู่ที่ห้องไอซียู และให้ยาสลบกับน้องตลอดเวลา เพราะ หากตื่นกลัวว่าจะทนความเจ็บปวดไม่ไหว ตอนนี้น้องต้องใส่เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา และต้องเฝ้าระวังอาการวันต่อวัน เปลือกตาบวมหนัก คุณหมอไม่สามารถตรวจดวงตาได้เลย
            อย่างไรก็ตาม คุณแม่ชี้แจงว่า สิ่งที่ส่งต่อกันในโลกไซเบอร์นั้นเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน โดยเฉพาะเรื่องค่ารักษาพยาบาลวันละ 20,000 บาท ไม่เป็นความจริงเลย โดย ที่บอกค่ารักษาพยาบาล 20,000 บาทนั้น คือการรักษาตัวในช่วงแรก ๆ ตั้งแต่ที่มาถึงโรงพยาบาลจนมาถึงปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นค่ายานอกบัญชี และค่าอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งทางครอบครัวสามารถจ่ายได้ แต่สิ่งที่พูดกับคนใกล้ชิดคือ กังวลว่าในระยะยาวจะต้องใช้เงินมากน้อยแค่ไหน ถึงจะรักษาน้องให้หายกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ จึงได้โพสต์รูปน้องลงไปในเฟซบุ๊ก เพื่อให้คนที่รู้จักได้ทราบ จะได้ให้คำแนะนำหรือให้ความช่วยเหลือ

            คุณ แม่เล่าต่อว่า จากนั้น นางกัญญารัตน์ แซ่เตียว คุณป้าของน้อง ก็ได้นำรูปของน้องออมสินไปโพสต์ลงในเฟซบุ๊ก เพื่อให้เพื่อน ๆ ศิษย์เก่าโรงเรียนสายน้ำผึ้ง และเพื่อนร่วมงานช่วยกันส่งต่อความช่วยเหลือ ปรากฏว่าหลังจากนั้น เรื่องของน้องก็ยิ่งถูกแชร์กันต่อไปเรื่อย ๆ ยิ่งบอกต่อกันไปก็เลยเกิดความคลาดเคลื่อนมากขึ้น กระทั่งเป็นข่าวมีนักข่าวแห่กันมาสัมภาษณ์ที่วชิรพยาบาลที่น้องรักษาตัวอยู่ ซึ่งทำให้ตนไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะกลัวว่าจะมีผลกระทบต่อการรักษา และการทำงานของโรงพยาบาลที่น้องออมสินรักษาอยู่
            นอกจาก นี้ สิ่งที่คุณแม่เครียดมากก็คือ ถูกหลายคนครหาว่ามาหลอกลวง ให้ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง โดยเฉพาะเรื่องบัญชีบริจาคที่มีหลายบัญชีทำให้เกิดความสับสน จึงขอชี้แจงว่า บัญชีธนาคารกรุงเทพที่ใช้ชื่อ กัญญรัตน์ แซ่เตียว นั้น เป็นของคุณป้าน้องออมสิน แต่ภายหลังมีการส่งต่อเข้ามามาก คุณป้าจึงแนะนำให้เปลี่ยนเป็นโอนเงินเข้าบัญชีชื่อของคุณแม่โดยตรงแทนน่าจะ ดีกว่า ตนจึงไปโพสต์ในเฟซบุ๊กว่าใครที่จะร่วมบริจาคให้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกสิกร ไทย ชื่อ ปทิดา แซ่เอี๊ยบ แทน

            อย่างไรก็ตาม แม้จะเปลี่ยนบัญชีก็ยังเกิดปัญหาขึ้น เพราะชื่อคนในบัญชีเป็นชื่อ "ดารารัตน์" ไม่ตรงกับชื่อของตน จึงขอชี้แจงว่า "ดารารัตน์" เป็นชื่อเก่า ตนเพิ่งจะเปลี่ยนชื่อมาเป็น "ปทิตา" เมื่อปีที่แล้ว ทำให้คนที่ไปโอนเงินเกิดความสงสัย แต่จริง ๆ เป็นคน ๆ เดียวกัน เรื่องดังกล่าวทำให้ครอบครัวเครียดมาก ไม่คิดว่าจะได้รับความสนใจขนาดนี้ อยากจะขอบคุณคนใจบุญทุกคนที่ช่วยเหลือน้อง ขอให้ทุกคนได้รับสิ่งดี ๆ กลับไป และขอโทษที่ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น ทั้งนี้ คุณป้าของน้องก็ยินดีให้ตรวจสอบเงินในบัญชีเพื่อความสบายใจ และจะอัพเดทข้อมูลของน้องตลอดผ่านทางเฟซบุ๊ก
            ขณะที่ทางโรงพยาบาลระบุว่า น้องออมสินถูกน้ำร้อนลวกที่ใบหน้าและลำตัว ถือว่าอยู่ในระดับที่รุนแรง ต้องอยู่ในห้องปลอดเชื้อ และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา ทั้งนี้ ทางครอบครัวใช้สิทธิ์ 30 บาทรักษาทุกโรคในการรักษาน้อง ซึ่งไม่ครอบคลุมค่ายาปฏิชีวนะ กับการรักษาโรคในเริ่มต้น ทำให้ค่าใช้จ่ายในช่วงแรก ๆ เกือบหนึ่งหมื่นบาทต่อวัน แต่ตอนนี้ค่าใช้จ่ายลดลงแล้ว และทางแพทย์เตรียมแถลงข่าวอีกครั้ง เพราะมีคนโทรศัพท์ไปสอบถามที่โรงพยาบาลเป็นจำนวนมาก

มอบตัวแล้ว! นักศึกษา ม.ราม อ้างถูก รปภ. ใช้ขวานฟันแขนก่อน

นักศึกษา ม.รามคำแหง หนึ่งในผู้รุมทำร้าย รปภ. ได้เข้ามอบตัวแล้ว รับเป็นเจ้าของรถคันที่ปรากฏในข่าวจริง แต่ไม่ได้ลงมือรุมทำร้าย รปภ. อ้างถูก รปภ. นำขวานมาฟันแขนก่อน เพื่อนจึงเข้ามาช่วย





            สืบเนื่องจากกรณีที่มีการแชร์ภาพในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก โดยตั้งชื่อหัวข้อว่า "รุมทำร้าย รปภ. ในรั้ว ม.ร." ซึ่งเป็นภาพของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) ถูกทำร้ายร่างกายเลือดอาบศีรษะ หน้าผากยุบ กระทั่งทราบถึงที่มาของภาพดังกล่าวว่า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 17 มีนาคม เมื่อชาย 2 คน ที่คาดว่าจะเป็นนักศึกษาปริญญาตรี ภาคพิเศษ ได้นำรถยนต์ยี่ห้อเชฟโรเลต ครูซ สีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน ฏม-7373 กทม. มาจอดรถบริเวณหน้าธนาคารออมสินในมหาวิทยาลัยรามคำแหง (หัวหมาก) แต่ นายทวิชาติ สร้อยมาศ อายุประมาณ 53 ปี ชาว จ.แพร่ ซึ่งทำหน้า รปภ. ได้เข้ามาห้ามไม่ให้จอด ก่อนเกิดการโต้เถียงกัน โดยทาง นายทวิชาติ ได้ถ่ายรูปรถและทะเบียนรถเอาไว้ กระทั่งภายหลังได้มีชายฉกรรจ์ประมาณ 7 คน เข้ามารุมทำร้ายนายทวิชาติจนได้รับบาดเจ็บสาหัส เพื่อน รปภ. จึงช่วยกันรีบนำตัวนายทวิชาติส่งโรงพยาบาลนั้น

            ล่าสุด เมื่อวานนี้ (20 มีนาคม) มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.หัวหมาก ได้สอบปากคำนายทวิชาติเรียบร้อยแล้ว และเบื้องต้นทราบว่าเจ้าของรถคันดังกล่าว คือ นายปัญจพล เตือนภักดี อายุ 23 ปี เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยกล้องวงจรปิดของมหาวิทยาลัยสามารถบันทึกเหตุการณ์ตอนที่มีการรุมทำร้าย ไว้ได้ แต่เห็นภาพไม่ชัดเจนว่า นายปัญจพลเข้าร่วมทำร้ายร่างกายนายทวิชาติด้วยหรือไม่

            ต่อ มาเวลา 17.00 น. ในวันเดียวกัน พล.ต.ต.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบก.น.4 เปิดเผยว่า พนักงานสอบสวนได้นำภาพถ่ายของเจ้าของรถคันดังกล่าวไปให้นายทวิชาติดูแล้ว ซึ่งนายทวิชาติจำได้อย่างแม่นยำว่าเป็นนายปัญจพล ดังนั้นพนักงานสอบสวนจึงไปขออนุมัติศาลอาญา ถ.รัชดา เพื่อออกหมายจับในข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับ อันตรายสาหัส

            กระทั่งเวลา 23.00 น. นายปัญจพลพร้อมด้วยเพื่อน 1 คน และบิดาของนายปัญจพล ได้เดินทางมามอบตัวที่ สน.หัวหมาก ซึ่งหลังจากสอบปากคำ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัวนายปัญจพลไว้ และยังไม่อนุญาตให้ประกันตัว อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้นายปัญจพลได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า กำลังศึกษาในระดับปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจ โครงการพิเศษ วันที่เกิดเหตุรีบขึ้นไปเรียนเพราะมาสาย จึงจอดรถคันดังกล่าวในที่ห้ามจอด แล้ว รปภ. ก็เดินเข้ามาบอกว่าห้ามจอด แต่ รปภ. พูดจาไม่ดี จึงมีการโต้เถียงกัน เมื่อ รปภ. มาทุบรถตน จึงเกิดชกต่อยกันขึ้น พอมีคนห้ามก็แยกย้ายกันไป โดยตนขึ้นไปเรียนตามปกติ พอเรียนเสร็จลงมาที่รถ ปรากฏว่า รปภ. คนเดิมเดินมาหาเรื่องอีก จนเกิดการชกต่อยกันอีกครั้ง แล้ว รปภ. ก็วิ่งไปคว้าขวานมาฟันที่แขนตน เพื่อน ๆ ที่เห็นเหตุการณ์จึงมาช่วยกันรุม รปภ. ตามภาพที่ปรากฏในเฟซบุ๊ก

            นายปัญจพล กล่าวอีกว่า เรื่องที่เกิดขึ้น ทุกคนเป็นพยานได้ ตนอยากขอให้มหาวิทยาลัยเปิดเผยข้อมูลที่อยู่ในกล้องวงจรปิดจะได้ทราบ ข้อเท็จจริง ตอนนี้ตนยังมีบาดแผลที่แขนขวา เพราะถูกขวานฟัน ตนถูกทำร้ายเพื่อน ๆ จึงเข้ามาช่วย

วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2556

สตช. ปูนบำเหน็จ 3 ตำรวจเหยื่อระเบิดรือเสาะ 5 ชั้นยศ


อดุลย์ แสงสิงแก้ว

อดุลย์ แสงสิงแก้ว


          อดุลย์ ร่วมพิธีรดน้ำศพ 3 ตำรวจเหยือระเบิดรือเสาะ พร้อมให้เงินช่วยเหลือครอบครัวจำนวนหนึ่ง ก่อนเคลื่อนย้ายศพไปบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิดต่อไป สตช. ปูนบำเหน็จให้ 5 ชั้นยศ
 
          จากกรณีเกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดแสวงเครื่องใส่ไว้ในถังแก๊สหุงต้ม ที่ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ซึ่งทำให้มีตำรวจเสียชีวิต 3 นาย ได้แก่ พ.ต.ท.จักรกฤษณ์ วงศ์พรหมเมศร์ รอง ผกก.ป.สภ.รือเสาะ วัย 49 ปี, ส.ต.อ.ปิยะ ภูพันเว่อ พลขับ วัย 34 ปี และ ส.ต.ท.สุเวส จันทรังษี ผบ.หมู่ ป.สภ.รือเสาะ วัย 30 ปี เสียชีวิต เมื่อวานนี้ (15 มีนาคม)
 
          พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า ตอนนี้ผู้บัญชาการ ศชต. และฝ่ายสืบสวน กำลังดำเนินการหาตัวคนร้ายอยู่ โดยกำชับให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานด้วยความรอบคอบและรัดกุม ส่วนเรื่องที่นายตำรวจเสียชีวิต ตนจะให้นำเฮลิคอปเตอร์ไปรับ จัดบำเพ็ญกุศลอย่างสมเกียรติ เนื่องจากไม่ใช่ตำรวจในพื้นที่ นอกจากนี้ ตนจะลงพื้นที่ไปร่วมรดน้ำศพด้วย พร้อมติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด
 
          ด้านนายวรเชษฐ พรมโอภาษ นายอำเภอรือเสาะ เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา พื้นที่ อ.รือเสาะ ยังไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น มีเพียงแค่ลอบยิงชาวบ้าน หรือลอบวางเพลิงบ้านร้างหนึ่งหลังเท่านั้น ฉะนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดในปีนี้
 

          ขณะที่ คนในพื้นที่ อ.รือเสาะ ต่างเสียใจกับการเสียชีวิตของ พ.ต.ท.จักรกฤษณ์ เนื่องจากเชื่อว่า พ.ต.ท.จักรกฤษณ์ เป็นตำรวจน้ำดีที่อาสาดับไฟใต้ โดยไม่หวังเรื่องชื่อเสียงเงินทอง เห็นได้จากการย้ายตำแหน่งจาก สว.สืบสวน สตม.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มาดำรงตำแหน่ง สวป.สภ.ศรีสาคร เพราะต้องการจับคนร้ายที่ฆ่าครูจูหลิง ปงกันมูล

อดุลย์ แสงสิงแก้ว

          ล่าสุดวันนี้ (16 มีนาคม) เวลา 09.30 น. พล.ต.อ.อดุลย์ ได้เป็นประธานในพิธีรดน้ำศพและวางพวงหรีด ของ พ.ต.ท.จักรกฤษณ์, ส.ต.อ.สุเวทย์ และ ส.ต.อ.ปิยะ ที่ศาลาสันติสุข ฌาปนกิจสถานเทศบาลนครยะลา อ.เมือง จ.ยะลา พร้อมกับระบุว่า ในเบื้องต้น ได้มอบเงินช่วยเหลือจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้แก่ครอบครัวเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 3 นายแล้ว และยังมีหน่วยงานอื่น ๆ ที่ให้เงินช่วยเหลือเพิ่มเติมอีกด้วย

          ทั้งนี้ หลังจากเสร็จพิธีรดน้ำศพ ศพของตำรวจทั้ง 3 นายจะถูกส่งไปบำเพ็ญกุศลไปยังบ้านเกิดต่อไป ได้แก่ พ.ต.ท.จักรกฤษณ์ บำเพ็ญกุศลที่วัดราษฎร์สโมสร อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส, ส.ต.อ.สุเวทย์ บำเพ็ญกุศลที่ อ.สามโก้ จ.อ่างทอง และ ส.ต.อ.ปิยะ บำเพ็ญกุศลที่ อ.หนองกุงศรี จ.กาฬสินธุ์

          ด้านนางฐาปณี คีรีวงศ์ ภรรยา พ.ต.ท.จักรกฤษณ์ กล่าวว่า เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คิดว่าคนร้ายทำเกินกว่าเหตุ และไม่คิดว่าสามีจะต้องมาจบชีวิตแบบนี้

          วันเดียวกัน พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย ในฐานะโฆษก สตช. ได้ระบุว่า ทาง สตช. เตรียมปูนบำเหน็จ 5 ชั้นยศ ให้กับนายตำรวจที่เสียชีวิตทั้ง 3 นาย พร้อมให้เงินช่วยเหลือรายละประมาณ 3 ล้านบาท และรับทายาทเข้ารับราชการตำรวจต่อไป


อดุลย์ แสงสิงแก้ว





ปตท. เผย รถคันแรกดันยอดใช้ NGV พุ่ง จี้ ขึ้นราคาแก้คิวแน่น




ปตท. จี้ขึ้นราคา NGV แก้คิวแน่น จวกนโยบายรถคันแรกดันใช้ก๊าซพุ่ง หวั่นปี 57 ขาดทุนแสนล้าน (ไทยโพสต์)

          ปตท. กางแผนแก้ปัญหาคิวเอ็นจีวีแน่น ทุ่ม 5,000 ล้านบาท เพิ่มก๊าซฯ อีก 20% กว่า 1,600 ตันต่อวัน  มั่นใจเห็นผล 2-3 เดือนนี้ ระบุมาตรการรถยนต์คันแรกดันรถบ้านแห่แย่งใช้เอ็นจีวีพุ่งขึ้น 28% ชี้เพิ่มก๊าซฯ และปั๊มไม่สามารถแก้ปัญหาระยะยาวได้ วอนรัฐบาลปรับขึ้นราคาโดยเร็ว หลังขาดทุนหนัก คาดปี 2557 ยอดพุ่ง 1 แสนล้านบาท 

          เมื่อวันที่ 15 มีนาคม นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. เปิดเผยว่า ปตท. เตรียมงบลงทุนไว้ 5,000 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาคิวรอเติมก๊าซธรรมชาติ (เอ็นจีวี) นาน และปริมาณก๊าซฯ ไม่เพียงพอ โดยเพิ่มปริมาณก๊าซเอ็นจีวีอีก 20% หรือประมาณ 1,646 ตันต่อวัน เพื่อแจกจ่ายไปยังปั๊มเอ็นจีวีหลักทั่วประเทศ พร้อมกับเพิ่มปริมาณรถขนส่ง, ปั๊มเอ็นจีวี และหัวจ่ายขึ้นในอีก 2 ปั๊มเก่า 

          ทั้งนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่สามารถแก้ไขได้สมบูรณ์ในระยะยาว เนื่องจากพบว่ามาตรการรถยนต์คันแรกของรัฐบาลส่งผลให้รถที่ติดตั้งเอ็นจีวีออกสู่ท้องถนนเพิ่มขึ้นถึง 250 คันต่อวัน  จากปี 2555 มีรถยนต์ติดตั้งเอ็นจีวีรวมทั้งสิ้น 3.7 แสนคัน หรือเพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับปี 2554 ส่วนปริมาณการใช้เอ็นจีวีในปี 2555 สูงถึง 8,000 ตันต่อวัน จากเดิมอยู่ที่ 6,000 ตันต่อวัน  และคาดว่าสิ้นปี 2556 จะมีการใช้เอ็นจีวีรวมถึง 9,000 ตันต่อวัน ทำให้ในอนาคตอาจต้องนำก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) เข้ามาใช้แทน และส่งผลให้ต้นทุนเอ็นจีวีสูงขึ้นอีก

          "เกิดปัญหารถบ้านติดตั้งเอ็นจีวีเข้ามาแย่งใช้เอ็นจีวีมากขึ้นถึง 28% ของรถยนต์เอ็นจีวีทั้งหมด ขณะที่รถบรรทุกมีเพิ่มขึ้น 24% รถแท็กซี่เพิ่มขึ้น 15% และรถโดยสารเพิ่มขึ้น 9% ซึ่งกลุ่มรถบ้านเป็นต้นเหตุของปัญหาคิวเติมเอ็นจีวีแน่น เพราะมาแย่งเติมเอ็นจีวีกับกลุ่มรถแท็กซี่ในช่วงเปลี่ยนกะเวลา 12.00-16.00 น. ดังนั้นแม้จะเพิ่มปริมาณก๊าซฯ ขึ้น ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาคิวเติมแน่นได้เบ็ดเสร็จ" นายไพรินทร์กล่าว 
    

          นายไพรินทร์ กล่าวว่า การแก้ปัญหาระยะยาวจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาเอ็นจีวีจากปัจจุบันจำหน่ายต่ำกว่าต้นทุนอยู่ที่  10.50 บาทต่อกิโลกรัม อย่างไรก็ตาม ปตท.ได้ส่งแผนการปรับปรุงเอ็นจีวีให้กระทรวงพลังงานพิจารณาแล้ว และต้องการให้มีการปรับขึ้นราคาให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงโดยเร็ว เพื่อลดปัญหาการขาดทุนของ ปตท.ที่มียอดขาดทุนสะสมตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบันอยู่ที่ 6.2 หมื่นล้านบาท และหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงราคาจำหน่ายจนถึงปี 2557 จะทำให้ยอดขาดทุนพุ่งขึ้นสูงสุดถึง 1 แสนล้านบาท และเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจเอ็นจีวีของ ปตท.ต่อไปด้วย
   

          สำหรับการแข็งค่าของเงินบาทในขณะนี้ จะส่งผลดีต่อการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ ทำให้มีต้นทุนถูกลง และ ปตท.มีแผนจะใช้โอกาสนี้ชำระหนี้เงินกู้สกุลเงินต่างประเทศได้เร็วขึ้น  แต่ในส่วนของการส่งออกปิโตรเคมีอาจได้รับผลกระทบทางบัญชีบ้าง